วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การออมเป็นกุญแจของมั่งคั่ง

“Wealthy & Healthy” (4)
“เงินหายากลำบากแสนเข็ญ กว่าจะเป็นของเราก็เหนื่อยหลาย”

“มั่นสะสมเงินไว้แม้เหนื่อยกาย ไม่มลายสิ้นเพราะใจเรา”

เป็นความโชคดีของมนุษย์ ที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่สามารถพัฒนาขีดความสามารถ ด้วยสติปัญญาของตนเอง สติปัญญานี่แหละ.... ทำให้เรายังคงอยู่ได้สุขสบายทุกวันนี้ ดังคำโบราณไทยๆว่าไว้ “มีปัญญาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน” แปลเข้าใจง่ายๆว่า “เคาะกระโหลกแล้วได้เงินไหลออกมา” สำหรับชาติตะวันตก คงไม่ปฏิเสธแนวคิดของ อดัมสมิธ ที่เป็นต้นตำหรับแนวคิดเศรษฐกิจแบบ“ทุนนิยม” บนรากฐานของ สิทธิเสรีภาพภาดรภาพในแต่ละบุคคล และการยอมรับในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน นี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นของหนังสือ “The enquiry of causes of the wealth of nation” เป็นตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกๆก็ว่าได้ ประเทศชาติจะมั่งคั่งร่ำรวยได้อย่างไร? “ต้องให้อิสระกับแต่ละบุคคลในการคิด การประกอบกิจการ ซิ” มีอะไรอีกไหม? “ต้องให้สิทธิ์ในทรัพย์สินและผลประโยชน์ในทรัพย์สินแต่ละบุคคลซิ” เท่านี้แหละทุนนิยมจึงเติบโต เติบโตเพราะเปิดโอกาสให้คนสะสมทุนทุกรูปแบบ พวกเราลองย้อนนึกถึงคนถ้ำ เข้าป่าล่าสัตว์ เดินป่าทั้งวันในทุ่งกว้าง นานๆจะมีกวางตาบอดวิ่งผ่านหน้ามาสักตัว คนถ้ำวิ่งไล่จับ ยังไม่แน่เลยว่าจะจับได้ แต่ถ้าจับได้ก็กินหมด ยังไม่รู้เลยว่าอีกกี่วันจะมีกวางตาบอดวิ่งผ่านมาอีก หรืออีกตัวอย่างหนึ่งในช่วงแรกๆการพัฒนาสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน จะใช้สินค้าแลกเปลี่ยนกับสินค้า เช่นข้าวโพดแลก ไก่ , ไข่แลกเกลือ บ้านไหนมีผลผลิตมากๆก็จะนำมาแลกกับสิ่งที่ตนเองไม่มี สมมุติว่าบ้าน นายไข่ เพาะปลูกข้าวปีนี้ได้เยอะ เก็บเต็มยุ้งข้าวใกล้แม่น้ำ อยู่มาวันหนึ่ง (วัน...วย) ปลวกกัดกินเสายุ้งข้าวหัก และฝนตกหนักน้ำไหลบ่าเชี่ยวกราดพัดยุ้งข้าวจมหายไปกับสายน้ำ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ใครมีทรัพย์เป็นโชคที่ดี แต่การรักษาให้ทรัพย์มันอยู่กับเรานานๆเป็นโชคของโชคดีเสียอีกครับ”

Econ idea


ในชั้นเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ มีการตั้งคำถามว่า คนเราแต่ละคนมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? เด็กชายเคนส์ตอบด้วยเสียงอันดังว่า “คนเราควรจะแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วน เพื่อใช้จ่าย ส่วนที่หนึ่งจ่ายในชีวิตประจำวัน , ส่วนที่สองเพื่อจ่ายในยามฉุกเฉิน เช่นเจ็บไข้ได้ป่วย อุบัติเหตุ และแต่งงานครับ (... เธอแน่ใจหรือ) และส่วนที่สามเก็บออมเพื่อการลงทุนและเก็งกำไรครับ ...สิ้นสุดเสียงเคนส์ ก็มีเสียงเล็กแหลมของ เด็กหญิง ปอย ตอบสวนทันควัน ว่า “ในสมัยพระพุทธกาลมีเรื่องเล่าไว้ว่า มีพระราชาองค์หนึ่งไต่ถามสาระทุกข์คนตัดฟืนว่า มีความเป็นอยู่เช่นไร?” “ข้าพเจ้ามีความเป็นอยู่ตามอัตภาพ” “แล้วเป็นอย่างไรล๊ะ” “ เงินทองที่หามาได้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน 1.นำไปฝังดิน 2.นำไปใช้หนี้ 3.นำไปให้ยืม 4.นำทิ้งน้ำ 5.นำไปมอบให้ศัตรู” ชายตัดฟืนตอบ “ที่เจ้าว่ามานั้นเป็นเช่นไร” พระราชาทรงถาม “ ข้อ1 นำไปฝังดินคือการทำบุญทำทานเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น บุญจะได้งอกเงยนำสู่โลกเบื้องหน้า ข้อ 2 นำไปใช้หนี้หมายถึง การนำไปบำรุงบิดา มารดา เป็นการตอบแทนบุญคุณ ข้อ 3 นำไปให้ยืม หมายถึงการนำทรัพย์ไปเลี้ยงดูบุตร เพื่อวันข้างหน้าหมายให้ลูกหลานกตัญญูรู้คุณเรา ข้อ 4 นำทิ้งน้ำ หมายถึงทรัพย์ใช้ไปไม่ก่อประโยชน์อันใดไม่ เพื่อความสนุกสนาน รื่นเริ่ง และประการสุดท้าย การมอบให้ศัตรู หมายถึงการมอบให้ ภรรยา (สามี)….” พระพุทธเจ้าข้า.... เด็กหญิงปอยเปล่งเสียงฉะฉานอย่างตั้งใจ “แล้วข้อสุดท้ายล๊ะหนูหมายความว่าอย่างไรล๊ะ” คุณครูถามด้วยความสงสัย “หนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกับค๊ะ เพราะ ......” ในเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์กล่าวถึงเรื่อง วงจรการบริโภคสินค้า การออม และการสะสมความมั่งคั่ง ตลอดช่วงชีวิตของบุคคล (Consumption , Saving, and Wealth over the life cycle) ว่าคนเราตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั้งตายจะมีกระแสรายได้และรายจ่าย โดยกระแสรายได้ช่วง เกิดถึงวัยรุ่นจะต่ำมาก เพราะไม่มีรายได้อยู่ในช่วงวัยเรียน ช่วงที่ 2 รายได้จะเพิ่มขึ้นเพราะอยู่ในช่วงวัยทำงาน แต่จะแตกต่างกันไปแต่ละประเภทของงาน และช่วงที่ 3 ช่วงเกษียญอายุมีรายได้ลด และรายจ่ายก็จะมีลักษณะเช่นเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์พยายามจะจัดดุลยภาพของทั้งสองกระแส ว่าควรจะเป็นอย่างไรจึงจะเหมาะสมครับ ...


ไม่มีความคิดเห็น: